วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ซัมซุงรุกเปิดตัวโอเอสน้องใหม่'บาดา'





จากความสำเร็จของไอโฟนและ “แอพสโตร์” หรือร้านขายแอพพลิเคชันสำหรับไอโฟนของบริษัทแอปเปิล ทำให้ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาซอฟท์แวร์สำหรับสมาร์ทโฟนเพิ่มมากขึ้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา


บริษัทซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ ผู้ผลิตมือถือรายใหญ่อันดับสองของโลกจากประเทศเกาหลีใต้ได้เปิดตัว “บาดา” ระบบปฎิบัติการที่บริษัทเป็นผู้พัฒนาขึ้น ระบบปฏิบัติการ “บาดา” (Bada) ซึ่งในภาษาเกาหลีแปลว่ามหาสมุทร จะมาพร้อมกับโปรแกรมตรวจจับความเคลื่อนไหว (Motion Sensing) ระบบโฟกัสใบหน้าอัตโนมัติ (Face Detection) โปรแกรมเครือข่ายสังคม ฟังก์ชันเชิงโต้ตอบอื่นๆ รวมถึงโปรแกรมที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้พัฒนาซอฟท์แวร์ ซึ่งซัมซุงหวังว่าจะสามารถใช้แข่งขันกับระบบปฏิบัติการอื่นๆ ที่มีอินเตอร์เฟซที่ใช้งานแอพพลิเคชันต่างๆ อย่างเช่นการเล่นเกม อินเตอร์เน็ต หรือฟังเพลงได้ง่าย ผู้ร่วมพัฒนาระบบบาดา ได้แก่ ทวิตเตอร์ บริษัทอีเอ โมบาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทวีดีโอเกม อิเล็กทรอนิกส์ อาร์ตส์ (อีเอ) และบริษัทเกมลอฟต์ จากประเทศฝรั่งเศส นอกจากนี้ซัมซุงยังจัดกิจกรรมให้ผู้พัฒนาซอฟท์แวร์แข่งขันกันพัฒนาแอพพลิเคชันที่ใช้สำหรับระบบบาดาเพื่อชิงเงินรางวัลรวมมูลค่า 2.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อีกด้วย


โฮซู ลี รองประธานบริหารและหัวหน้าศูนย์มีเดีย โซลูชัน ของบริษัทซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์กล่าวว่า “ผมเชื่อว่าซัมซุงจะกลายเป็นผู้นำในตลาดโทรศัพท์มือถืออย่างแท้จริงโดยมีตัวเลือกของสมาร์ทโฟนให้ผู้บริโภคได้เลือกมากกว่า” พร้อมทั้งกล่าวว่าระบบปฏิบัติการบาดาจะเปิดโอกาสให้ผู้พัฒนาแอพพลิเคชันสามารถเผยแพร่แอพพลิเคชันของตัวเองออกสู่โทรศัพท์ของซัมซุงจำนวนนับไม่ถ้วนที่มีผู้ใช้อยู่ทั่วโลก ซัมซุงจะวางจำหน่ายโทรศัพท์มือถือหน้าจอระบบสัมผัสที่ใช้ระบบปฏิบัติการบาดาในตลาดโทรศัพท์ราคาปานกลางก่อน จากนั้นจึงเจาะตลาดสมาร์ทโฟนราคาถูก ลีกล่าวว่าบริษัทมีแผนจะวางจำหน่ายโทรศัพท์ระบบบาดาในเอเชียและยุโรปในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2553 ส่วนในตลาดอื่นๆ จะตามมาทีหลัง แต่ซัมซุงยังไม่ได้กำหนดแผนการและเป้าหมายที่แน่นอน


ซัมซุงจะค่อยๆ เพิ่มจำนวนโทรศัพท์ระบบบาดาขึ้น แต่จะยังคงใช้ระบบปฏิบัติการอื่นๆ อย่างวินโดว์ส โมบาย แอนดรอยด์ และซิมเบียนต่อไป และยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเปิดบาดาให้กับบริษัทโทรศัพท์มือถืออื่นใช้หรือไม่


ในช่วงที่ผ่านมา ซัมซุงมีส่วนแบ่งตลาดโทรศัพท์มือถือเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด ซึ่งนีล มอว์สตัน นักวิเคราะห์จากบริษัทวิจัย สแทรทิจี อนาไลติกส์ มองว่าเป็นเพราะโทรศัพท์ของซัมซุงมีรูปลักษณ์ภายนอกเป็นที่ดึงดูดใจ มอว์สตันยังเชื่อว่าบาดาจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับซัมซุงในตลาดสมาร์ทโฟนที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว


ข้อมูลจากบริษัทวิจัย การ์ทเนอร์ ระบุว่าส่วนแบ่งตลาดมือถือโลกของซัมซุงในไตรมาสที่สามของปีนี้เพิ่มขึ้นจาก 17.1% ในปีที่แล้วมาอยู่ที่ 20.7% ขยับเข้ามาใกล้ผู้นำคือ โนเกีย ที่มีส่วนแบ่งตลาดในไตรมาสเดียวกันอยู่ที่ 37.3%


แต่อย่างไรก็ตาม มอว์สตันมองว่าซัมซุงพัฒนาระบบปฏิบัติการออกมาตอบโต้คู่แข่งค่อนข้างช้า และบาดาอาจจะไม่แตกต่างกับระบบปฏิบัติการอื่นๆ อย่างลิโม (LiMo) ที่โทรศัพท์บางรุ่นของซัมซุงใช้อยู่ หรือซิมเบียน (Symbian) ของโนเกีย


นอกจากโทรศัพท์มือถือแล้ว ซัมซุงยังเป็นผู้ผลิตชิพหน่วยความจำและทีวีจอแบนรายใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งโฮซู ลี กล่าวว่า “ตลาดโลกเป็นตลาดที่ใหญ่ แต่เราได้รับประโยชน์จากตลาดต่างๆ ที่เราแข่งขันอยู่ เช่นทีวี และอุปกรณ์อื่นๆ ซึ่งทำให้เรามั่นใจกับแนวทางที่เราใช้ผลักดันสมาร์ทโฟนออกสู่ตลาดที่กว้างขึ้น”




ที่มา :: http://www.value.co.th/th/news/IT_news.htm






วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ฟูจิตสึเผยไลฟ์บุ๊ก P8110 นิยามใหม่ยุคโมบิลิตี้



ฟูจิตสึสร้างนิยามใหม่ให้กับคอมพิวเตอร์ขนาดพกพา เปิดตัวฟูจิตสึไลฟ์บุ๊ก P8110 ตอบสนองความต้องการผู้ใช้งานที่เป็นมืออาชีพ ฟูจิตสึไลฟ์บุ๊ก P8110 ยังการันตีประสิทธิภาพ พร้อมกับดีไซน์หรูหรา...

นายโทโมกิ ทาคาฮาชิ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ฟูจิตสึ พีซี เอเชีย แปซิฟิค จำกัด กล่าวว่า ฟูจิตสึนำเสนอการเปลี่ยนแปลงก้าวสำคัญของการเข้าสู่ยุคโมบิลิตี้ เพื่อที่จะตอบสนองทุกความต้องการของผู้ใช้งานที่มีความเป็นมืออาชีพสูงในโลกที่ไม่หยุดนิ่งใบนี้ ทางฟูจิตสึจึงได้มีการเปิดตัวฟูจิตสึไลฟ์บุ๊ก P8110 โน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ล่าสุดในตระกูล P เข้าสู่ตลาดประเทศไทย โดยมุ่งเน้นความเป็นโน้ตบุ๊กสไตล์หรู มาพร้อมกับความบางเบา และประสิทธิภาพการทำงาน

“ไลฟ์บุ๊ก P8110 ถูกสร้างบนพื้นฐานการนำเสนออิสระในการพกพา เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถนำติดตัวไปได้ทุกที่อย่างสะดวกสบาย ซึ่งไลฟ์บุ๊ก P8110 นี้น่าจะเป็นโน้ตบุ๊กที่เป็นที่ต้องการสำหรับโปรที่มองหาโน๊ตบุ๊คสมรรถนะสูง ที่ให้อิสระการทำงานในไลฟ์สไตล์ที่ไม่หยุดนิ่งและมีความลงตัวในแง่ของภาพลักษณ์ได้เป็นอย่างดี โดยมาพร้อมกับการใช้งานแบบ multi-tasking และการเชื่อมต่อทุกสถานที่อย่างไร้ขีดจำกัด” ผอ.ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ฟูจิตสึ กล่าว

นายทาคาฮาชิ กล่าวต่อว่า ไลฟ์บุ๊ก P8110 มีจุดเด่นเรื่องการพกพาด้วยน้ำหนักเบาเพียง 1.38 กิโลกรัม สามารถใช้งานคอมพิวเตอร์ได้ยาวนานขึ้นมากถึง 8 ชั่วโมง ด้วยการขยายช่วงเวลาการใช้งานได้อีก 1.5 เท่าโดยเข้าโหมดประหยัดพลังงาน ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต หรือฟังเพลงได้ยาวนาน และต่อเนื่อง คุณสามารถเข้าสู่โหมดการประหยัดพลังงานได้อย่างง่ายดายด้วยปุ่มเพียงปุ่มเดียว ไม่ว่าจะอยู่ระหว่างการประชุม หรือการเดินทางต่างประเทศอันยาวนาน ด้วยปุ่ม ECO ปุ่มนี้ทำให้ชีวิตของคุณง่ายขึ้น

ผอ.ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ฟูจิตสึ กล่าวอีกว่า ไลฟ์บุ๊ก P8110 ยังมาพร้อมกับหน้าจอแบบ widescreen ขนาด 12.1 นิ้ว ที่ให้ภาพคมชัดด้วยเทคโนโลยี SuperFine WXGA Black Light LED ที่ให้ความสว่างสูง เพื่อรองรับการใช้งานด้าน spreadsheet นอกจากนี้ยัง Built-in Dual Layer DVD ไดร์ฟ และ HDMI port ที่จะให้ผู้ใช้งานส่งสัญญาณภาพความละเอียดสูง พร้อมประสิทธิภาพ คือ Intel Core 2 Duo Processor SU7300 หรือ SU9600 พร้อมกับระบบปฏิบัติการ Windows 7 Home Premium หรือ Professional เมมโมรี่ 2GB หรือสามารถอัพเมมโมรี่ได้มากสุดถึง 4GB DDR3 1066MHZ และมีความจุของฮาร์ดไดร์ฟ 320GB หรือ 500GB ไลฟ์บุ๊ก P8110 ยังมาพร้อมกับการทำงานร่วมกันระหว่าง Intel® Graphics Media Accelerator 4500MHD และ Intel Clear Video Technology and DVMT 5.0 เพื่อเสริมประสิทธิภาพด้าน 2D/3D กราฟฟิค ร่วมกับ Shader Model 4.0

นายทาคาฮาชิ กล่าวด้วยว่า ด้านการเชื่อมต่อไลฟ์บุ๊ก P8110 ฟูจิตสึได้เสริมความสามารถด้านการเชื่อมต่อสำหรับเครือข่ายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกล้อง 2 ล้านพิกเซล บลูทูธ ไวร์เลสแลน หรือระบบ wi-fi ที่มีระบบการเชื่อมต่อด้วยตัวรับสัญญาณมากถึง 3 จุด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการออนไลน์บน skype และต้องการสัญญาณภาพและเสียงเพื่อการประชุมทางไกล (video conference) รวมทั้งความสามารถที่ให้ผู้ใช้งานเข้าถึงอีเมล์เพียงกดปุ่มครั้งเดียว ทั้งนี้ฟูจิตสึไลฟ์บุ๊ก P8110 มีวางจำหน่ายแล้วในราคาตั้งแต่ 59,900 บาทขึ้นไป (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%) พร้อมกับการรับประกันเครื่อง 1 ปี พิเศษสุดสำหรับลูกค้าฟูจิตสึ รับประกันเพิ่ม 2 ปีมูลค่า 3,990 บาท ผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมสามารถดูได้ http://www.fujitsu.com/th/en/services/pc/

ข่าวจาก : http://www.bcoms.net/news/index.asp

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552

กูเกิลจัดอันดับ 'ลดราคา' คำค้นฮิตปี52





เผยคำค้นยอดฮิตของเว็บเวิร์ชเอ็นจิน "กูเกิล" ประจำปี 52 "ลดราคา" คนเสิร์ชเพิ่มมากขึ้นจากปี 51 ถึง 62% ขณะที่คำค้นเกี่ยวกับข่าวยอดนิยมคือ แพนด้าหลินปิง-หวัด 09 "ตลาดสามชุก-หัวหิน" มาแรง..


เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. บริษัทกูเกิล อิงค์ โดยเว็บไซต์กูเกิล ประกาศผลไซท์ไกสท์ประจำปี ที่เป็นการมองผ่านสายตาคนไทยโดยรวม ที่จับจ้องผ่านเว็บตลอดปี 2551 ผลไซท์ไกสท์ช่วงสิ้นปี 2551 จะสะท้อนภาพรวมที่โดดเด่นเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญ และแนวโน้มที่มาแรงที่สุดในรอบปีจากการค้นหาบนเว็บไซต์เสิร์ชเอนจิ้น www.google.co.th โดยข้อมูล คำค้นหาสูงสุดบนกูเกิล ประเทศไทย เผยให้เห็นประเด็นที่ได้รับความสนใจสูงสุดจากประชาชนชาวไทยในช่วงปีนี้


ผลการสำรวจของกูเกิลพบว่า คนไทยใช้เวลาเพิ่มมากขึ้นในการเข้าถึงไฟล์พอร์ทัลบนอินเทอร์เน็ต เช่น เว็บไซต์แบ่งปันไฟล์ 4shared และการค้นหา ภาพยนตร์ออนไลน์นอกจากนี้ ในหมวดหมู่ความบันเทิง พบว่าคนไทยค้นหาผลการประกวดร้องเพลงทางโทรทัศน์ อาทิ เดอะสตาร์ 5 (The Star 5) และอาคาเดมี แฟนตาเซีย 6 (Academy Fantasia 6) เพิ่มมากขึ้น และมีการค้นหาเพลง ความคิดและ การเปลี่ยนแปลง

ส่วนกลุ่มนักเรียน นักศึกษา นักเรียนก็ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสอบ
GAT-PAT สำหรับการสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย และใช้พจนานุกรมออนไลน์ไทย-อังกฤษเพื่อรองรับการแปลคำศัพท์


นอกจากนั้น ประเด็นเรื่องสุขภาพทางด้านร่างกายและจิตใจก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่คนไทยให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงปีนี้ คำค้นหาที่มาแรงได้แก่
ไข้หวัดใหญ่ 2009" และ ทำนายฝันแม้ว่า จะมีความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของไข้หวัดใหญ่ แต่ก็ยังมีข่าวดีเกิดขึ้นมากมาย เช่น การถือกำเนิดของแพนด้าน้อยหลินปิงที่สวนสัตว์เชียงใหม่ การแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ตรังเกมส์

ขณะเดียวกันเมื่อเศรษฐกิจไม่เป็นใจ คำว่า "ลดราคา" ก็ครองความสนใจของคนไทย หลังชาวบ้านต่างรัดเข็มขัดกันมาตลอดปี และค้นหาข้อตกลงราคาซื้อ-ขายที่ดีที่สุดด้วยการออนไลน์ค้นหาข้อมูลราคา ตั้งแต่รองเท้า ไปจนถึงเครื่องประดับ รวมไปถึงราคาอสังหาริมทรัพย์ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องไม้เครื่องมือ และอุปกรณ์ต่างๆ จงส่งผลให้อัตราการค้นหาของคำว่า
ลดราคา มีอัตราสูงขึ้นถึง 62% ในช่วงปี 2552 เมื่อเทียบกับปี 2551 ที่ผ่านมา

ที่น่าสนใจ คือ คนไทยให้ความสนใจกับหนังสือเล่มใหม่เรื่อง
สแกนกรรมมีการใช้คำค้นกันอย่างกว้างขวาง ขณะเดียวกัน ก็ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ค้นหา ธรรมะออนไลน์
เพื่อศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า

สุดท้ายคนไทยยังนิยมที่จะหวนระลึกถึงอดีตวันวานด้วยการเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยว เก่าแก่อย่างตลาดร้อยปีท อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี และเมืองชายทะเลหัวหิน ซึ่งเป็นที่นิยมในของหมวดหมู่ท่องเที่ยวในช่วงปีนี้

ทั้งนี้ กูเกิลได้จัดอันดับ คำค้นยอดนิยมในปี 2552 แบ่งเป็นประเภทต่าง ดังนี้

คำค้นประเภทดาวรุ่งพุ่งแรง

1. 4
shared

2. ดูหนังออนไลน์
3. ความคิด
4.
gat-pat

5.
dictionary
อังกฤษไทย
6.
the star
5
7. ทํานายฝัน
8.
AF
6
9. การเปลี่ยนแปลง
10. ไข้หวัด 2009

คำค้นยอดนิยม

1. เกมส์
2.
hi
5
3.
youtube

4.
hotmail

5. ดูดวง
6. ฟังเพลง
7. 4
shared

8. ดูหนังออนไลน์
9. ผลบอล
10. รถมือสอง

คำค้นรวมข่าวเด่น

1. อาการไข้หวัดใหญ่ 2009
2. แพนด้าน้อย
3. ตรังเกมส์
4. สุริยุปราคา 2552
5. มอเตอร์โชว์ 2009
6. งานแต่งงานกบ
7. ข่าวหุ้นกู้
8. ดาราเกาหลีศัลยกรรม
9. นปช
10. นโยบายเรียนฟรี

คำค้นแหล่งท่องเที่ยวถวิลหาวันวาน

1. ตลาดน้ำสี่ภาค
2. อัมพวา
3. หัวหิน
4. สามชุก
5. ชะอำ
6. เกาะเสม็ด
7. เกาะล้าน
8. ท่าพระจันทร์
9. ตลาดโรงเกลือ
10. เกาะสีชัง


วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เดินไปคุยโทรศัพท์ไปมีโทษต่อร่างกาย

คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ยุคนี้โทรศัพท์มือถือนั้น ถือเป็นปัจจัยที่ 5 ของคนยุคดิจิทัลกันไปแล้ว แต่คุณรู้ไหมว่า การเดินคุยโทรศัพท์นั้น มีผลเสียต่อร่างกายของคุณ!!!

ทั้งนี้ จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยควีนสแลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ระบุว่า การเดินคุยโทรศัพท์เป็นเวลานาน ๆ นั้น อาจทำให้เกิดอาการปวดหลังได้ สาเหตุหนึ่งเกิดจากการหายใจของเรา เพราะว่าร่างกายมนุษย์ถูกออกแบบมาให้หายใจออกเวลาเท้าแตะพื้น ซึ่งจะเป็นการช่วยป้องกันการกระแทกของกระดูกสันหลัง ดังนั้น การพูดและเดินไปพร้อมๆ กันจะทำให้รูปแบบการหายใจนี้เสีย และส่งผลต่อกระดูกสันหลังของเราได้

คณะวิจัยได้ทำการวัดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อลำตัว ซึ่งเป็นส่วนที่ปกป้องกระดูกสันหลังในอาสาสมัครแต่ละคน พบว่ากล้ามเนื้อส่วนลำตัวจะทำงานได้อย่างเหมาะสม ในคนที่เดินเฉยๆ แต่คนที่เดินไปพูดไปจะมีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบริเวณนี้น้อยกว่าปกติ และจะเป็นอันตรายต่อกระดูกสันหลังได้

แมทธิว เบนเนตต์ โฆษกของ บริติช คิโรแพรคติค แอสโซซิเอชั่น กล่าวว่า ตนเห็นด้วยกับผลงานวิจัยดังกล่าว ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมาก ๆ มันทำให้เรารู้ว่า เราไม่ควรเดินไปพูดไปในเวลาเดียวกัน เพราะมันจะทำให้ประสิทธิภาพในการเดินของเราลดลง ส่วนงานวิจัยชิ้นนี้ทำให้เราสามารถแนะนำคนที่มีอาการปวดหลังได้ว่า ควรสังเกตวิธีการก้มเก็บของ หรือไม่ควรที่จะนั่งอยู่กับที่นานเกินไป และอีกหนึ่งคำแนะนำคือ ไม่ควรที่จะเดินไปคุยโทรศัพท์ไป

ไม่เฉพาะแต่การเดินไปคุยไปเท่านั้นที่มีโทษต่อร่างกาย แต่การขับรถไปคุยโทรศัพท์ไปก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้นะคะ.







วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

Mnet และ SME




เรื่องไม่ดีเบื้องหลัง Mnet และ SM Entertainment (SME)




งาน MAMA ของคืนที่แล้วจัดโดย Mnet เป็นงานฉลองของเหล่าแฟนๆ Kpop นับไม่ถ้วนอย่างไม่มีข้อสงสัย อย่างไรก็ตาม, อย่างสนุกสนานเท่าที่มันเป็น, งานนี้เต็มไปด้วยการโต้เถียง (และยังคงมีเป็นอยู่), ด้วยการไม่ร่วมงานของ SM Entertainment เป็นศูนย์กลางของพายุ Mnet และ SME ดูจะเป็นคู่แค้นตลอดกาล, แต่หลายคนก็ยังจดจำข้อเท็จจริงที่ว่าทั้งคู่เคยเป็นมิตรต่อกันอย่างมาก แล้วอะไรกันแน่ที่ทำให้พวกเขากลายเป็นคู่ปรปักษ์ล่ะ? มาตรวจดูความความขัดแย้งระหว่าง Mnet และ SME กัน




จริงๆแล้ว Mnet คืออะไรกันล่ะ?Mnet คือบริษัทสื่อที่ครอบครองโดย CJ Media ที่เน้นด้าน ดนตรี, สื่อ, ความบันเทิงและ ธุรกิจทางอินเตอร์เน็ต CJ Media เป็นส่วนหนึ่งของ CJ, กลุ่มบริษัทที่เป็นหนึ่งในบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลี Mnet มีส่วนร่วมในเกือบทุกๆด้านของอุตสาหกรรมความบันเทิง, ไล่ไปตั้งแต่ การผลิตอัลบั้ม, การกระจายสินค้า, การขาย, การจัดการ, การออกอากาศทางโทรทัศน์, สื่อออนไลน์ และธุรกิจอื่นๆ ด้วยการขยายตัวเหล่านี้, Mnet ได้กลายเป็นยักษ์ใหญ่ของธุรกิจดนตรี, ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 44% ในการขายอัลบั้ม และ มากกว่า 20% ในด้านเพลงออนไลน์




Mnet และ CJ ก็ยังเป็นผู้ถือหุ้นของหลายบริษัทด้านความบันเทิง ทั้ง DSP Entertainment และ YG Entertainment แม้ว่าพวกเขาจะครอบครองไม่ถึง 20% ของหุ้นทั้งหมด จากแต่ละบริษัท, ข้อเท็จจริงที่ว่า CJ เป็นกลุ่มบริษัท หมายความว่า บริษัทที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ต่างก็เป็น บริษัทในเครือ CJ อยู่ในตอนนี้ บริษัทเล็กๆที่มีบุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น ชินฮวา, Kim Dong Ryul และ Wheesung ก็เป็น “บริษัทในเครือ” ของ CJ ด้วยเช่นกัน เช่นเดียวกันที่, 30% ของ JYP Entertainment นั้นถูกถือครองโดย SK, กลุ่มบริษัทอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นหนึ่งในห้าบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ, ทำให้ JYP อีกกลุ่มหนึ่งที่มีแรงสนับสนุนเทียบเท่ากับที่ Mnet มี




ความสัมพันธ์ของ SME และ Mnet พัฒนาไปอย่างไรบ้างในช่วงหลายปีที่ผ่านมา?




ก่อน ปี 2008, SME และ Mnet ต่างเป็นมิตรต่อกันอย่างมาก MKMF หรือที่ในรู้จักในตอนนี้ว่า MAMA ได้มีศิลปินจำนวนมากจาก SME เข้าร่วมซึ่งก็ได้รับรางวัลอย่างมากมาย อย่างไรก็ตาม ในปี 2008, Mnet ยื่นข้อเสนอต่อ SME ว่าพวกเขาอยากจะเป็น ผู้กระจายเพลงที่ผลิตโดย SME แล้ว Mnet ก็จะรับส่วนแบ่งจากกำไรจากการขายเป็นผลตอบแทน Mnet ได้เป็นผู้กระจายสินค้าของ JYP, DPS และ YG อยู่แล้ว, และด้วยสิทธิ์ในการกระจายเพลงของ SME พวกเขาจะกลายเป็นผู้นำในธุรกิจนี้อย่างไร้คู่แข่ง SME ปฏิเสธข้อเสนอเพราะพวกเขามีความสามารถที่จะกระจายสินค้าของพวกเขาเอง และไม่รู้สึกถึงความจำเป็นที่จะต้องจ่ายให้ Mnet สำหรับงานที่พวกเขาสามารถทำได้ด้วยตัวเอง Mnet ยังเคืองที่ SME ขัดขวางการยึดครองธุรกิจนี้อย่างไม่ต้องสงสัย, และมิตรภาพของพวกเขาก็สินสุดลง ณ ตรงนี้




CJ ยังได้เคยพยายามที่จะครอบครอง SME แต่ล้มเหลว ถ้าพวกเขาทำสำเร็จ, CJ จะได้ควบคุมอุตสาหกรรมบันเทิงของเกาหลีทั้งหมด ข้อเท็จจริงเหล่านี้ยังไม่ได้เผยแพร่ในสาธารณะ, จนกระทั่งเกิดข้อโต้แย้งล่าสุดระหว่าง SME และ MAMA ได้นำความสนใจของสาธารณะมาที่ความสัมพันธ์ระหว่างสองกลุ่มนี้ ด้วยเพลง Gee ของ โซนยอชิเด กับ MAMA, พวกเราก็ได้รู้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงของทั้งคู่




แล้ว MAMA มีส่วนกับความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่าง SME และ Mnet อย่างไร?ข้อ โต้แย้งที่ใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้นโดย MAMA ก็คือ เรื่องที่สมาชิกทั้งสามคนของ ดงบังชินกิ, แจจุง, ยูชอน และ จุนซู ปรากฏตัวเพื่อรับรางวัล Best Representative of Asia Award (ตัวแทนของทวีปเอเชีย) แม้ว่าบางคนอาจจะแย้งว่าการกระทำที่รุนแรงของ SME นั้นไม่เป็นที่ต้องการ และทั้งสามคนก็มีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ที่พวกเขาต้องการ, การเลือกมาปรากฏตัวที่งานของ Mnet นั้นได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว และไม่น่าจะเป็นการตัดสินใจที่มุ่งร้ายโดยธรรมชาติ




แล้วความสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการปรากฏตัวของ ดงบังชินกิ คืออะไรล่ะ?




หลาย คนอาจจะสงสัยว่าการที่สมาชิกทั้งสามสามารถที่จะแสดงออกอย่างหาญกล้ากับ SME ในช่วงหลายเดือนนี้ เป็นเพราะว่าพวกเขาได้รับการสนับสนุนจากองค์กรที่มีพลังอำนาจมากกว่า SME กับการปรากฏตัวอย่างไม่กระดากใจที่ MAMA, ตอนนี้มันก็ดูจะเป็นว่า Mnet และ CJ อาจจะเป็นคนที่หนุนหลังสมาชิกทั้งสามคนอยู่ มันเป็นไปได้อย่างมากว่า CJ และ Mnet กำลังหนุนหลังทั้งสามคนเพื่อที่จะเอาชนะการต่อสู้กับ SME เพื่อที่จะครองครองธุรกิจ ถ้าเป็นเช่นนี้จริง, ดงบังชินกิได้กลายเป็นแค่หลักประกันในการต่อสู้ระหว่างสองบริษัท




SME, บริษัทที่ตอนนี้เป็นที่รู้จักสำหรับ ทัศนะคตอที่กดขี่แบบบริษัทใหญ่ต่อศิลปินในค่าย, ถูกโจมตีในเชิงเหน็บแนมจากหนึ่งในบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลี บริษัททั้งคู่ต่างก็เป็นองค์กรเน้นผลกำไรที่จะทำอะไรก็ตามเพื่อให้ได้กำไร ที่มากขึ้น ฉะนั้นมันไม่มีดีหรือเลวในสถานการณ์แบบนี้ สิ่งที่เลวร้าย, อย่างไรก็ตาม, ก็คือเหล่าศิลปินได้กลายเป็นเหยื่อในการดิ้นรนเพื่ออำนาจของบริษัท ดงบังชินกิ โซนยอชิเด และ ชายนี่ ต่างก็เป็นเหยื่อของความขัดแย้งระหว่าง SME และ CJ/Mnet งาน MAMA ก็เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นของความทุกข์ของศิลปินเหล่านี้








วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ดงบัง กะ JYP


ดงบังจะยังอยู่เอสเอ็มต่อไป ก็ต่อเมื่อเอสเอ็มยกเลิกหรือแก้ไขสัญญาทาสซึ่งตอนนี้เอสเอ็มยังไม่ได้ออกมาพูดเรื่องสัญญา ก็เลยยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดและตอนนี้ทาง JYP ได้ยื่นข้อเสนอให้ดงบังเรียบร้อยแล้ว ให้ข้อเสนอ 6:4ซึ่งถ้าทางเอสเอ็มไม่ยอมยกเลิกหรือแก้ไขสัญญาเราว่าดงบังย้ายแน่ถ้าไม่มีดงบังชินกิในเกาหลีก็จะไม่มีโทโฮชินกิในญี่ป่นด้วย เพราะAVEXกับSMเค้ามีสัญญาต่อกันอยู่และส่งผลถึงโฆษณาที่ดงบังไปถ่าย 2 ตัว ตอนนี้เค้าฟ้องร้อง AVEXตอนนี้ AVEX โกรธทางเอสเอ็มเป็นอย่างมาก และเตรียมจะฟ้องทางเอสเอ็มถ้าเอสเอ็มย้ายค่ายจริงๆตอนนี้AVEXแฟนคลับที่ญี่ปุ่นกำลังไม่พอใจเอสเอ็มอย่างมากตอนนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของทางเอสเอ็มแล้วว่าจะแก้ไขสัญญาไหม

ไปเจอบทความนี้มา จริงเหรอ หุหุ ยังไงก็ยัง รอคอยเทพอยู่นะ ขอให้เรื่องราวจบลงด้วยดี...MoONid